ปัจจุบันการใช้น้ำหอมถือเป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้ทั่วไป อีกทั้งยังมีหลายรูปแบบ หลากสไตล์ให้เลือกสรรกันตามความขอบของแต่ละคนอีกด้วย อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดการใช้งานน้ำหอมถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะตามประวัติที่บันทึกเอาไว้น้ำหอมถูกใช้มาตั้งแต่ยุค 3,000 – 4,000 ปีก่อนด้วยซ้ำ รวมถึงมารู้จักกับน้ำหอมกลิ่นแรกของโลกกันเลย จุดกำเนิดของน้ำหอมมีตั้งแต่เมื่อไหร่? น้ำหอมกลิ่นแรกของโลกคือ? ตามประวัติศาสตร์ที่มีการบอกเล่าสืบต่อกันมา “น้ำหอม” ถูกใช้เป็นครั้งแรกเมื่อกว่า 4,000 ปีก่อน ในยุคอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึ่งผู้ที่รังสรรค์ขึ้นมามีชื่อว่า “ทัปปูติ” นักเคมีหญิงช่วงสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล รูปแบบของการผลิตช่วงแรก ๆ จะใช้การเผายางไม้ เปลือกไม้หลายชนิด รวมถึงขี้ผึ้งสำหรับทำพิธีทางศาสนา แต่ถ้าเป็นการใช้ของคนทั่วไปจะเผายางไม้ที่มีกลิ่นหอมแล้วนำมาทาตามร่างกาย ขณะที่อีกหลักฐานก็มีการค้นพบว่าชาวอียิปต์มีการเผาน้ำหอมกันมาตั้งแต่ยุค 3,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยพระนางฮัตเชปซุต ราชินีแห่งอียิปต์ทรงมีความสนพระทัยด้วยการให้ผู้คนไปตามหาเปลือกไม้ และดอกไม้กลิ่นต่าง ๆ มาทำน้ำหอมส่วนพระองค์สำหรับใช้อาบ รวมถึงยังพกติดตัวอยู่เสมอ ต่อมาแม้พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์แต่ชาวอียิปต์ก็เริ่มนำเอาศาสตร์ของการทำน้ำหอมในยุคนั้นมาประยุกต์และใช้งานกันอย่างแพร่หลาย กระทั่งเริ่มแผ่ขยายมาถึงชาวจีนโบราณ ชาวอิสราเอล ชาวฮินดู ชาวโรมัน และชาวอาหรับกรีก จนช่วงศตวรรษที่ 15 ได้มีการพัฒนาขวดแก้วสำหรับใส่น้ำหอมอย่างจริงจัง ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนี้เองก็ได้เกิดน้ำหอมกลิ่นแรกของโลกจากการกลั่นขึ้นอย่างเป็นทางการตามบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรนั่นคือ “กลิ่นกุหลาบ” ก่อนที่ช่วงศตวรรษที่ 16 เมื่อชาวฝรั่งเศสได้รู้จักกับน้ำหอมจึงเกิดอุตสาหกรรมขยายออกไปทั่วโลกในที่สุด ทำไมกลิ่นน้ำหอมแรกของโลกต้องปรุงจากกุหลาบ? ตามความเชื่อตั้งแต่ยุคโบราณกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ความงดงาม และความประณีต เมื่อบวกกับการมีกลิ่นหอมอันแสนเย้ายวนใจซึ่งคนชนชั้นสูงนิยมใช้เป็นส่วนหนึ่งของการอาบน้ำ จนในที่สุดการผลิตน้ำหอมด้วยเทคนิคการกลั่น (เปลี่ยนจากการเผา) กลิ่นแรกของโลกจึงกลายเป็นกลิ่นกุหลาบ ซึ่งปัจจุบันกลิ่นกุหลาบยังคงเป็นกลิ่นหลักของหลาย ๆ สูตรน้ำหอมที่ถูกนำมาใช้ปรุงแล้วผสมกับกลิ่นหอมของพืชพันธุ์ชนิดอื่น ๆ เช่น Rose Oasis, In The Hellish Desert จากแบรนด์ “Artepole” ที่มีการนำกลิ่นกุหลาบมาผสานกับกลิ่นอันแสนหลากหลายให้ผู้ใช้ได้สัมผัสถึงความสดชื่น สร้างความแจ่มใสจิตใจเบิกบานพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ทั้งนี้น้ำหอมแบรนด์ไทยของเรายังมีน้ำหอมที่สร้างจากแรงบันดาลใจสุดพิเศษอีกมากมาย เลือกแบบที่ใช่กันได้เลย
Author Archives: Admin Tum
ยุคปัจจุบันเราทุกคนคุ้นเคยกับการใช้น้ำหอมเป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่แต่ยังไงก็ต้องเคยได้สัมผัสกลิ่นกันเป็นเรื่องปกติ แต่เชื่อหรือไม่? เรื่องราวของน้ำหอมที่มนุษย์ใช้กันทุกวันนี้ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นแค่หลักหลายร้อยปี แต่! มนุษย์รู้จักกับการใช้น้ำหอมมายาวนานกว่า 4,000 ปี เลยด้วยซ้ำ นี่เป็นอีกเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ และอยากให้ลองได้ศึกษากัน เรื่องราวของการใช้น้ำหอมที่มีมานานกว่า 4,000 ปี จากประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกและบอกต่อกันเชื่อว่า มนุษย์มีการใช้งานน้ำหอมครั้งแรกเมื่อราว 4,000 ปีก่อน หรือตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมีย รูปแบบคือจะนำเอาสิ่งที่มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติมาเผาเพื่อให้เกิดเป็นกลิ่นต่าง ๆ เช่น ขี้ผึ้ง ยางไม้ เปลือกไม้หลากสายพันธุ์ จุดประสงค์เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ขณะที่การนำกลิ่นหอมไปใช้ในชีวิตทั่วไปมักเลือกใช้กลิ่นจากน้ำมันต้นไม้ เปลือกไม้ ยางไม้ กลุ่มไม้หอมต่าง ๆ มาผสมรวมเข้าด้วยกันสำหรับทาตัวให้เกิดกลิ่นน่าประทับใจ ยิ่งไปกว่านั้นอารยธรรมเมโสโปเตเมียยังใช้น้ำหอมในการดองศพอีกต่างหาก ขณะที่ฝั่งอียิปต์ก็ได้มีการศึกษาตามหลักฐานของอักษร Hieroglyphic ระบุว่า ชาวอียิปต์เองมีการใช้น้ำหอมมากว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล จุดเริ่มต้นมาจากราชินีแฮตเชฟซุต (Hatshepsut) ทรงชื่นชอบและมักให้ผู้คนออกตามหาไม้ที่มีกลิ่นหอมเพื่อใช้ทำเป็นน้ำหอม หลังเสด็จสวรรคตก็มีราชินีองค์อื่น ๆ ใช้น้ำหอมพร้อมปรับแต่งกลิ่นให้น่าสนใจมากขึ้นด้วย การเติบโตของน้ำหอมจากยุคกลางสู่ยุคปัจจุบัน บันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการใช้น้ำหอมยังคงดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ กระทั่งเข้าสู่ยุคกลาง การผลิตน้ำหอมเปลี่ยนจากใช้เครื่องหอมต่าง ๆ มาเป็นวิธีทำละลายด้วยแอลกอฮอล์พร้อมเสริมวิวัฒนาการด้านการสกัดกลิ่นจนได้น้ำหอมกลิ่นแรกของโลกอย่าง “กุหลาบ” ออกมา กระทั่งก้าวเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 19 วงการน้ำหอมเติบโตแบบก้าวกระโดดทั้งด้านอุตสาหกรรมการผลิตและแวดวงแฟชั่น มีแบรนด์ระดับโลกในยุคปัจจุบันเกิดขึ้นมากมาย จวบจนทุกวันนี้น้ำหอมก็ยังเป็นสิ่งที่สร้างความน่าหลงใหลให้กับทุกคนอย่างไม่เสื่อมคลาย ซึ่งทางแบรนด์อาเตโพเล่เองก็มีจุดเริ่มต้นการสร้างสรรค์น้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ ภายใต้แรงบันดาลใจ “IMPERFECTION IS PERFECTION” เพราะความไม่สมบูรณ์แบบมันคือความสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ ทุกกลิ่น ทุกคอลเล็คชันจึงมีความตั้งใจ คิดค้น นำเสนอไอเดีย กระทั่งเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตให้ออกมาน่าพึงพอใจ และตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกคนมากที่สุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทาง Artepole ยังคงเดินหน้าแบบไม่หยุดยั้ง ก้าวสู่การเป็นแบรนด์น้ำหอมชั้นนำของเมืองไทยที่ไม่ได้มีดีแค่กลิ่น แต่ยังบ่งบอกถึงตัวตน เรื่องราว และเอกลักษณ์ของคุณได้อย่างไร้ที่ติ
พอพูดถึงน้ำหอม คำกริยาที่หลายคนน่าจะใช้กันจนติดปากคงหนีไม่พ้นความว่า “ฉีด” เป็นแน่ แต่ก็เช่นเดียวกับวงการต่างๆ ที่ล้วนแต่มีศัพท์แสงเป็นของตัวเอง และใช้พูดแบบเป็นอันเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงอะไร เช่นเดียวกับในกลุ่มของผู้ใช้น้ำหอมที่มีคำว่า “ใส่น้ำหอม” ที่คนทั่วไปอาจจะไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ ฉีดน้ำหอม vs ใส่น้ำหอม ต่างกันยังไง? เมื่อพูดถึงคำว่า “ใส่” ในมุมของคนทั่วไปอาจนึกถึงกริยาอย่าง ใส่เสื้อผ้า ใส่หมวก ใส่กางเกง เป็นต้น ซึ่งก็เช่นเดียวกัน เพราะในมุมของผู้ที่หลงใหลในกลิ่นของน้ำหอม การใส่น้ำหอมนั้นก็ไม่ต่างกับการสวมใส่เครื่องแต่งการเพื่อสร้างความมั่นใจ และสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกผ่านกลิ่นที่เลือกสรรมาแล้วเป็นอย่างดี แล้วตอนไหนที่ควรใช้ “ใส่” ตอนไหนควรใช้ “ฉีด” จำกันง่ายๆ ดังนี้เลย “ฉีด” ใช้ตอนที่เราฉีดน้ำหอมลงบนผิวกาย ส่วนคำว่า “ใส่” จะใช้เมื่อเราฉีดน้ำหอมเสร็จแล้ว เหมือนเราได้สวมใส่กลิ่นหอมๆ ไว้บนร่างกายของเราแล้วนั่นเองอาจจะฟังดูเป็นคำแปลกๆ ที่ไม่คุ้นนัก แต่การเข้าใจคำศัพท์แบบนี้ ก็จะช่วยให้คุณอินกับกลิ่นที่ใช้ได้มากขึ้น เก็เหมือนกับการรู้ว่าโทนสีเสื้อแบบไหนที่เหมาะสมมู้ดของเราในวันนี้ หรือรู้ว่าเสื้อโทนสีไหนที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเราดูดีมีความมั่นใจมากขึ้น เช่นกัน…การเลือกกลิ่นน้ำหอมมาใส่บนร่างกาย ก็เป็นสิ่งสะท้อนความเป็นตัวตนของเราออกมา ว่าอยากให้คนรอบข้างรู้สึกกับเราแบบไหน หรือเห็นภาพลักษณ์ของเราเป็นอย่างไร เพราะการเลือกน้ำหอมให้เหมาะกับตัวเอง ให้เหมาะกับงาน และเลือกใช้ในปริมาณที่ลงตัว ก็ช่วยดึงเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราออกมาได้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คนรักน้ำหอมได้เข้าใจความลึกซึ้ง และซับซ้อนของน้ำหอม ที่เป็นมากกว่าแค่กลิ่นที่ติดบนผิวกาย และมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่กันมากขึ้น สำหรับใครที่กำลังมองหาน้ำหอมแบรนด์ไทยเกรดพรีเมี่ยม Artepole พร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษของการใช้น้ำหอม ผ่านการดีไซน์กลิ่นด้วยแรงบันดาลใจ ผสานเข้ากับเรื่องราวของกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ช่วยเติมเต็มความมั่นใจ หรือบอกเล่าความรู้สึกของคุณได้ในทุกวัน ตัวอย่างเช่นกลิ่น Scent of Polé (เซ้นส์ ออฟ โพเล่) น้ำหอมที่ถูกปรุงขึ้นโดยคุณป้อ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ อาเตโพเล่ ซึ่งเหมาะกับทุกคนที่ต้องการแสดงความเป็นตัวตนที่แตกต่าง ผ่านกลิ่นน้ำหอมที่ช่วยเสริมมั่นใจในวันที่เป็นทางการพบปะบุคคล หรือไปงานสำคัญต่างๆ หรือแม้แต่ในวันทำงานปกติที่คุณต้องการสร้างคาแรคเตอร์ให้โดดเด่นน่าจดจำ Scent of Polé คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ Top: Rose Garden, Pineapple, Suede, Black PepperMiddle: Blue Chamomile, Incense, Jasmine, Maple Syrup, Mulberry, PancakeBase: Black Agarwood, Amber, Leather, Meringue, Orris, Tobac co
เพื่อจบปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจึงขอตอบคำถามเกี่ยวกับ 5 เรื่องเข้าใจผิดของน้ำหอมที่ควรรู้ไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการใช้น้ำหอมอย่างถูกวิธี
หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “โน้ตน้ำหอม” กันไปแล้วในบทความก่อนหน้า รวมถึงยังรู้จักว่ามีระดับที่แตกต่างกัน ได้แก่ Top Note, Middle Note และ Base Note สำหรับบทความนี้จะขออธิบายแบบเจาะลึกมากขึ้นว่าโน้ตน้ำหอมแต่ละตัวทำหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร รวมถึงมีวิธีสังเกตกลิ่นแต่ละโน้ตอย่างไรเพื่อให้การเลือกซื้อตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังมากที่สุด หน้าที่ของกลิ่น Top Note กลิ่น Top Note หรือ Head Note แม้จะออกมาเป็นกลิ่นแรกหลังการฉีด เจือจางง่าย คงอยู่ได้ไม่นานมาก แต่หน้าที่สำคัญคือช่วยสร้างความประทับใจแรกหลังได้สัมผัสเพื่อให้ผู้ใช้งานตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อดีหรือไม่ ส่วนใหญ่ผู้ปรุงมักนิยมใช้พืชสมุนไพรและผลไม้หลากชนิด อาทิ ตระกูล Citrus เช่น Lemon, Bergamot, Orange Zest ตระกูล Light Fruits เช่น Grapefruit, Berries และพืชกลุ่ม Herbs เช่น Clary Sage, Lavender เป็นต้น หน้าที่ของกลิ่น Middle Note กลิ่น Middle Note หรือ Heart Note จัดเป็นกลิ่นหลักที่จะอยู่ติดตัวไปอีกพักใหญ่ ๆ หน้าที่สำคัญจึงช่วยบ่งบอกสไตล์และตัวตนของผู้ใช้งานได้อย่างดี รวมถึงยังทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ฉุนแรงจนเกินไป ส่วนมากมักนิยมใช้พืชที่มีกลิ่นหอมอบอวลจำพวกดอกไม้และเครื่องเทศมาเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น พืชตระกูล Floral อาทิ Geranium, Lemongrass, Rose, Jasmine, Ylang Ylang, Coriander, Lavender, Neroli, Nutmeg เป็นต้น หน้าที่ของกลิ่น Base Note กลิ่น Base Note จะเป็นกลิ่นโน้ตน้ำหอมตัวสุดท้ายที่ออกมาให้สัมผัส หลังจากกลิ่น Middle Note ค่อย ๆ จางหายไป และมักอยู่ติดตัวคุณแทบตลอดทั้งวัน จึงอาจบอกว่านี่คือกลิ่นที่แท้จริงของน้ำหอมที่คุณฉีดก็คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก มักซ่อนความนุ่มลึกน่าค้นหาเอาไว้ จึงมีหน้าที่สำคัญในการบ่งบอกตัวตนของผู้ใช้ได้อย่างชัดเจนมากที่สุด พืชที่ใช้จึงออกแนวกลิ่นแมกไม้ ไม่แรงมากเกินไป เช่น Sandal Wood, Cedar Wood, Amber, Vanilla, Oakmoss, Patchouli, Musk เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือความแตกต่างของกลิ่นโน้ตน้ำหอมที่อธิบายเอาไว้ให้อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเลือกซื้อตามสไตล์การฉีดของตนเองได้ดีที่สุด ซึ่งทาง Artepole เองก็ใส่ใจในการจัดเรียงโน้ตน้ำหอมทุกกลิ่นภายใต้ความกลมกล่อมลงตัวมากที่สุด เช่น กลิ่น Eau de Dynamite – Extrait Perfume จะเริ่มกลิ่น Top Note ด้วยผลไม้และดอกไม้เมืองร้อน เติมความสดชื่นอีกนิดด้วยสะระแหน่และแมงดานา ตามมาติด ๆ กับกลิ่น Middle Note กับสไตล์หวานอมเปรี้ยวทั้งแอปเปิลเขียวกับเฟร้นช์ เลม่อน แอบซ่อนกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกมะลิแห้ง กุหลาบ ดอกไอริสและลาเวนเดอร์อีกเล็กน้อย ก่อนจะปิดด้วยกลิ่น Base Note ของแคชเมียร์ ได้ความนุ่มละมุนเกินห้ามใจ หรือถ้าคุณหลงใหลกลิ่นน้ำหอมสไตล์ไหน แบบใด ก็สามารถเลือกสินค้าจากเราไปใช้งานกันได้เลย
ถ้าพูดคำว่าโน้ตคนส่วนใหญ่คงต้องนึกถึงเรื่องของเสียงดนตรี ระดับเสียงสูง-ต่ำ แต่ในความเป็นจริงน้ำหอมเองก็มี “โน้ตน้ำหอม” อยู่ด้วยเหมือนกัน
นี่คือกลิ่นน้ำหอมที่อยากบอกว่าแปลกแต่มีอยู่จริง แถมกลิ่นก็ยังดีต่อใจมากอีกด้วย
เสน่ห์ความเป็นไทยอย่างหนึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ไม่เคยจางหายนั่นคือ การมีผัก ผลไม้ สมุนไพร และดอกไม้นานาชนิดที่สามารถหยิบมาใช้ได้กับทุกเรื่องของชีวิต ไม่ใช่แค่การสัมผัสรสชาติอร่อยหรือการดูแลสุขภาพเท่านั้น แต่เมื่อประกอบรวมเข้ากับความเป็นศิลปะแห่งการปรุงน้ำหอมแล้วยังสามารถสร้างกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์แบบเฉพาะตัวได้อีกด้วย นี่จึงเป็น 4 วัตถุดิบสไตล์ไทยที่สามารถพลิกโฉมสู่การเป็นน้ำหอมชั้นเลิศระดับสากลที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก 1. ส้มโอไทย (Thai Pomelo) กลิ่นหอมของส้มโอไทยที่ฟุ้งกระจายสร้างความสดชื่นออกมา ได้กลิ่นที่อ่อนหวาน แต่ก็แอบซ่อนความเปรี้ยวซ่าไว้ในตัว และเมื่อผสมผสานกับกลิ่นหอมจากวัตถุดิบอื่นๆแล้ว ก็ยิ่งทำให้เกิดเป็นกลิ่นน้ำหอมที่โดดเด่นและลงตัวที่สุด เพิ่มความสดชื่น ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเบาสบายอย่างเห็นได้ชัด เหมาะกับการนำไปใช้ในทุกสถานการณ์ที่ต้องพบเจอแต่ละวัน จะเลือกเป็นกลิ่นประจำตัวเพื่อให้คนรอบข้างคุ้นเคย บอกตัวตนได้อย่างน่าประทับใจ หรือใครอยากใช้เฉพาะในวันพิเศษเพื่อเผยความซุกซนในตัวเองก็ตอบโจทย์ไม่แพ้กัน 2. ว่านสาวหลง ( Amomum Biflorum) สมุนไพรไทยที่มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว เมื่อถูกผสานอยู่ในกลิ่นน้ำหอมจึงสัมผัสได้ถึงความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เผยบุคลิกความเป็นคนมีเสน่ห์ น่าหลงใหล แถมยังผสานความอบอุ่นเอาไว้ในตัวได้อย่างน่าประหลาดใจ นี่คือเสน่ห์อันเหนือระดับควรค่ากับการบ่งบอกตัวตนได้อย่างดีเยี่ยม 3. กระดังงา (Ylang Ylang) ด้วยกลิ่นที่มีความเฉพาะตัวสูง น่าเย้ายวนใจ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วัตถุดิบไทยชนิดนี้จะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการปรุงน้ำหอมได้อย่างน่าภาคภูมิ ความหอมหวานแบบนวล ๆ ชวนหลงใหล แต่ไม่ฉุนจัด จึงใช้ได้ดีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เหมาะกับการใช้งานแบบประจำในทุก ๆ วันที่ต้องก้าวออกจากบ้าน ดูดีกับทุกบุคลิกแม้แต่วันสบาย ๆ ก็คงเสน่ห์ได้ไม่เปลี่ยน 4. ดอกพุดซ้อน (Cape Jasmine) วัตถุดิบไทยอีกชนิดที่ทุกคนอาจคุ้นชินกับกลิ่นนี้อยู่พอสมควร เมื่อถูกนำมารังสรรค์ในการปรุงน้ำหอมจึงออกมาเป็นเสน่ห์แห่งความโรแมนติก นุ่มนวล หอมแบบกำลังพอดี ไม่ฉุนแรง เหมาะกับทุกลุคที่อยากเสริมเสน่ห์ให้กับตนเอง บ่งบอกสไตล์ที่ชัดเจนชวนน่าหลงใหล จริง ๆ แล้วยังมีวัตถุดิบไทยอีกหลากชนิดที่สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะการปรุงน้ำหอมได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งแบรนด์น้ำหอมไทย “Artepolé” ได้ใช้แรงบันดาลใจผสานเข้ากับกลิ่นอันแสนหลากหลาย กระทั่งออกมาเป็นน้ำหอมชั้นเลิศซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเอาไว้อย่างครบถ้วนผ่าน Story ที่ไม่เหมือนใคร ประทับใจไม่รู้ลืมเมื่อได้ใช้งาน
การสร้างสินค้าขึ้นมาสักชิ้นย่อมมีแรงบันดาลใจและเลือกทำในสิ่งที่รักอยู่เสมอ เช่นเดียวกับแบรนด์น้ำหอมสัญชาติไทยอย่าง “Artepolé” ที่มีเรื่องราวจากจุดเริ่มต้นที่มองว่า “Imperfection is Perfection” หรือ “ความไม่สมบูรณ์แบบคือความสมบูรณ์แบบ”
การใช้งานน้ำหอมไม่ใช่แค่ดับกลิ่นแต่ยังสามารถเพิ่มเสน่ห์ บ่งบอกความเป็นตัวตนได้อย่างดีเยี่ยม การเลือกน้ำหอมให้เหมาะกับบุคลิกของผู้ใช้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด ช่วยเสริมความมั่นใจในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งจะนำพาเรื่องดี ๆ เข้าหาแบบไม่ขาดมือ นี่จึงเป็น 5 เคล็ดไม่ลับฉบับการเลือกน้ำหอมให้เหมาะกับสไตล์ของตนเอง 1. รู้บุคลิกตนเองพร้อมเสริมกลิ่นที่บ่งบอกอารมณ์และภาพลักษณ์ที่อยากนำเสนอ การจะเลือกน้ำหอมให้เหมาะกับตัวตนก็จำเป็นต้องรู้จักตนเองให้มากพอ ไปจนถึงการรู้อารมณ์ที่อยากแสดงออกหรือสื่อให้คนภายนอกเห็นว่าฟิลลิ่งตอนนี้เป็นแบบไหน Mood ใด แล้วใส่น้ำหอมตามสไตล์นั้นได้เลย เช่น ออกเดตกับคนรู้ใจ ก็เลือกกลิ่นที่บ่งบอกความหวานฉ่ำ ให้อีกฝ่ายหลงใหล เช่นน้ำหอมโทน Spice Woody เพื่อเสริมภาพลักษณ์ความเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือ เป็นต้น 2. จงมีอิสระในการเลือกและใช้น้ำหอม การใช้น้ำหอมไม่ใช่การบังคับ แต่นี่คือการสื่อสารให้คนอื่นรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก หรือบุคลิกที่ต้องการแสดงออก จึงต้องมีอิสระในการเลือกและใช้ แต่ละวันอารมณ์อาจแตกต่างกันออกไป วันทำงานอาจใช้กลิ่นที่บ่งบอกลุคให้ดูน่าเชื่อถือ แต่ในวันหยุด ถ้าไปออกเดตจะเปลี่ยนเป็นกลิ่นน้ำหอมลุคอื่นก็สามารถซื้อไว้ใช้งานได้ 3. เทสต์กลิ่นที่ใช่ก่อนซื้อใช้งานจริง ด้วยกลิ่นน้ำหอมนั้น มีตัวเลือกเยอะมาก สิ่งที่จะช่วยทำให้รู้ว่าแบบไหนเหมาะกับบุคลิกของตนเอง หรือเป็นสไตล์ที่ชื่นชอบมากที่สุด ย่อมหนีไม่พ้นการเทสต์กลิ่นก่อนใช้งานจริงเสมอ เพื่อการรับรู้อย่างถูกต้อง ใช้แล้วมั่นใจ ไม่ใช่แค่การซื้อมาแล้ววางทิ้งไว้เฉย ๆ ก็จะน่าเสียดายแย่ ซึ่งการเทสต์กลิ่นนั้น มีทั้งเทสต์ลงบนกระดาษและเทสต์ลงบนผิวจริงของผู้ใช้เพื่อประเมินว่าเหมาะกับตนเองมากแค่ไหน ทริ้คที่สำคัญคือควรทดลองให้น้ำหอมอยู่บนผิวคุณไม่ต่ำกว่า 30 นาทีเพื่อให้รู้ถึงกลิ่นของน้ำหอมเมื่ออยู่บนผิวคุณ ให้ใกล้เคียงกับการใช้งานจริงที่กลิ่นน้ำหอมนั้นจะติดผิวคุณตลอดทั้งวัน ดูว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไร หรือถ้าเป็นไปได้ มีหลายแบรนด์ไทยที่มีน้ำหอมเทสเตอร์ขนาดเล็ก 3-5 ML ให้คุณได้ซื้อไปทดลองใช้งานก่อนว่าตลอดทั้งวัน กลิ่นนั้นๆเหมาะกับตัวคุณจริงๆหรือไม่ และแบรนด์ อาเตโพเล่ (Artepolé) เองก็มีขนาดทดลองจำหน่ายให้คุณได้ทดลองใช้งานจริงในชีวิตประจำวันก่อนที่จะตัดสินใจซื้อขวดใหญ่ไปเป็นน้ำหอมคู่ใจของคุณ 4. ไม่จำเป็นต้องมีกลิ่นเดียวเสมอไป อย่างที่บอกไปว่าการเลือกกลิ่นน้ำหอมถือเป็นอิสระทางความคิด ความชอบส่วนตัว เพราะการผลิตน้ำหอมแต่ละกลิ่นนั้น ก็คล้ายกับงานศิลปะที่ต้องพิถีพิถัน และมีความหลากหลาย ดังนั้นการเลือกใช้น้ำหอมไม่จำเป็นต้องมีกลิ่นเดียวตลอดไป สามารถปรับการใช้ให้เข้ากับสถานการณ์หรือโอกาสที่ต้องใช้ได้ เช่น งานรื่นเริงอย่างงานแต่งงานหรืองานเลี้ยงบริษัท อาจใช้กลิ่นที่บ่งบอกถึงความสดชื่น มีความละมุน ไม่ต้องฉุนแรงเกินไป เป็นต้น และอีกหนึ่งข้อดีของการมีน้ำหอมหลายกลิ่นไว้ใช้งาน คือ การช่วยลดสภาวะการชินกลิ่นของผู้ใช้ แก้ปัญหาการคิดไปเองว่ากลิ่นน้ำหอมที่ตนเองใส่ ทำไมเมื่อใช้ไปนานๆถึงไม่ค่อยได้กลิ่นตัวเอง ด้วยการสลับใช้น้ำหอมที่คุณชอบกลิ่นอื่นๆบ้าง 5. สไตล์ของกลิ่นตามช่วงเวลาและโอกาสที่ใช้ อีกเทคนิคหนึ่งในการเลือกน้ำหอม คือ ต้องรู้สไตล์ที่ชัดเจนของกลิ่นนั้น ๆ เช่น ถ้าใช้งานช่วงหน้าร้อนอาจเน้นกลิ่นที่โปร่ง สบาย ๆ รู้สึกสดชื่น ไปจนถึงการเลือกให้เหมาะกับกาลเทศะ หรือโอกาสที่ต้องใช้บ่อย ๆ เช่น งานมงคล งานรื่นเริง การเข้าพบลูกค้า ซึ่งทาง “อาเตโพเล่” (Artepolé) มีให้เลือกทุกสไตล์ สิ่งเหล่านี้คือเคล็ดไม่ลับสำหรับการเลือกน้ำหอมให้เหมาะกับสไตล์ บุคลิกและ ความชอบของตนเอง ซึ่งน้ำหอมแบรนด์ไทยอย่าง “ อาเตโพเล่ ” (Artepolé) ก็มีตัวเลือกกลิ่นอันทรงเสน่ห์ให้ใช้งาน ตอบโจทย์ทุกตัวตน บ่งบอกบุคลิกอย่างมีสไตล์ รังสรรค์ด้วยความตั้งใจเพื่อให้ออกมาดีที่สุด แต่ละกลิ่นมีแรงบันดาลใจเฉพาะตัวส่งต่อถึงผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน
- 1
- 2