พอพูดถึงน้ำหอม คำกริยาที่หลายคนน่าจะใช้กันจนติดปากคงหนีไม่พ้นความว่า “ฉีด” เป็นแน่ แต่ก็เช่นเดียวกับวงการต่างๆ ที่ล้วนแต่มีศัพท์แสงเป็นของตัวเอง และใช้พูดแบบเป็นอันเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงอะไร เช่นเดียวกับในกลุ่มของผู้ใช้น้ำหอมที่มีคำว่า “ใส่น้ำหอม” ที่คนทั่วไปอาจจะไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ ฉีดน้ำหอม vs ใส่น้ำหอม ต่างกันยังไง? เมื่อพูดถึงคำว่า “ใส่” ในมุมของคนทั่วไปอาจนึกถึงกริยาอย่าง ใส่เสื้อผ้า ใส่หมวก ใส่กางเกง เป็นต้น ซึ่งก็เช่นเดียวกัน เพราะในมุมของผู้ที่หลงใหลในกลิ่นของน้ำหอม การใส่น้ำหอมนั้นก็ไม่ต่างกับการสวมใส่เครื่องแต่งการเพื่อสร้างความมั่นใจ และสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกผ่านกลิ่นที่เลือกสรรมาแล้วเป็นอย่างดี แล้วตอนไหนที่ควรใช้ “ใส่” ตอนไหนควรใช้ “ฉีด” จำกันง่ายๆ ดังนี้เลย “ฉีด” ใช้ตอนที่เราฉีดน้ำหอมลงบนผิวกาย ส่วนคำว่า “ใส่” จะใช้เมื่อเราฉีดน้ำหอมเสร็จแล้ว เหมือนเราได้สวมใส่กลิ่นหอมๆ ไว้บนร่างกายของเราแล้วนั่นเองอาจจะฟังดูเป็นคำแปลกๆ ที่ไม่คุ้นนัก แต่การเข้าใจคำศัพท์แบบนี้ ก็จะช่วยให้คุณอินกับกลิ่นที่ใช้ได้มากขึ้น เก็เหมือนกับการรู้ว่าโทนสีเสื้อแบบไหนที่เหมาะสมมู้ดของเราในวันนี้ หรือรู้ว่าเสื้อโทนสีไหนที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเราดูดีมีความมั่นใจมากขึ้น เช่นกัน…การเลือกกลิ่นน้ำหอมมาใส่บนร่างกาย ก็เป็นสิ่งสะท้อนความเป็นตัวตนของเราออกมา ว่าอยากให้คนรอบข้างรู้สึกกับเราแบบไหน หรือเห็นภาพลักษณ์ของเราเป็นอย่างไร เพราะการเลือกน้ำหอมให้เหมาะกับตัวเอง ให้เหมาะกับงาน และเลือกใช้ในปริมาณที่ลงตัว ก็ช่วยดึงเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราออกมาได้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คนรักน้ำหอมได้เข้าใจความลึกซึ้ง และซับซ้อนของน้ำหอม ที่เป็นมากกว่าแค่กลิ่นที่ติดบนผิวกาย และมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่กันมากขึ้น สำหรับใครที่กำลังมองหาน้ำหอมแบรนด์ไทยเกรดพรีเมี่ยม Artepole พร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษของการใช้น้ำหอม ผ่านการดีไซน์กลิ่นด้วยแรงบันดาลใจ ผสานเข้ากับเรื่องราวของกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ช่วยเติมเต็มความมั่นใจ หรือบอกเล่าความรู้สึกของคุณได้ในทุกวัน ตัวอย่างเช่นกลิ่น Scent of Polé (เซ้นส์ ออฟ โพเล่) น้ำหอมที่ถูกปรุงขึ้นโดยคุณป้อ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ อาเตโพเล่ ซึ่งเหมาะกับทุกคนที่ต้องการแสดงความเป็นตัวตนที่แตกต่าง ผ่านกลิ่นน้ำหอมที่ช่วยเสริมมั่นใจในวันที่เป็นทางการพบปะบุคคล หรือไปงานสำคัญต่างๆ หรือแม้แต่ในวันทำงานปกติที่คุณต้องการสร้างคาแรคเตอร์ให้โดดเด่นน่าจดจำ Scent of Polé คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ Top: Rose Garden, Pineapple, Suede, Black PepperMiddle: Blue Chamomile, Incense, Jasmine, Maple Syrup, Mulberry, PancakeBase: Black Agarwood, Amber, Leather, Meringue, Orris, Tobac co
Monthly Archives: ตุลาคม 2024
เพื่อจบปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจึงขอตอบคำถามเกี่ยวกับ 5 เรื่องเข้าใจผิดของน้ำหอมที่ควรรู้ไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการใช้น้ำหอมอย่างถูกวิธี
หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “โน้ตน้ำหอม” กันไปแล้วในบทความก่อนหน้า รวมถึงยังรู้จักว่ามีระดับที่แตกต่างกัน ได้แก่ Top Note, Middle Note และ Base Note สำหรับบทความนี้จะขออธิบายแบบเจาะลึกมากขึ้นว่าโน้ตน้ำหอมแต่ละตัวทำหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร รวมถึงมีวิธีสังเกตกลิ่นแต่ละโน้ตอย่างไรเพื่อให้การเลือกซื้อตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังมากที่สุด หน้าที่ของกลิ่น Top Note กลิ่น Top Note หรือ Head Note แม้จะออกมาเป็นกลิ่นแรกหลังการฉีด เจือจางง่าย คงอยู่ได้ไม่นานมาก แต่หน้าที่สำคัญคือช่วยสร้างความประทับใจแรกหลังได้สัมผัสเพื่อให้ผู้ใช้งานตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อดีหรือไม่ ส่วนใหญ่ผู้ปรุงมักนิยมใช้พืชสมุนไพรและผลไม้หลากชนิด อาทิ ตระกูล Citrus เช่น Lemon, Bergamot, Orange Zest ตระกูล Light Fruits เช่น Grapefruit, Berries และพืชกลุ่ม Herbs เช่น Clary Sage, Lavender เป็นต้น หน้าที่ของกลิ่น Middle Note กลิ่น Middle Note หรือ Heart Note จัดเป็นกลิ่นหลักที่จะอยู่ติดตัวไปอีกพักใหญ่ ๆ หน้าที่สำคัญจึงช่วยบ่งบอกสไตล์และตัวตนของผู้ใช้งานได้อย่างดี รวมถึงยังทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ฉุนแรงจนเกินไป ส่วนมากมักนิยมใช้พืชที่มีกลิ่นหอมอบอวลจำพวกดอกไม้และเครื่องเทศมาเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น พืชตระกูล Floral อาทิ Geranium, Lemongrass, Rose, Jasmine, Ylang Ylang, Coriander, Lavender, Neroli, Nutmeg เป็นต้น หน้าที่ของกลิ่น Base Note กลิ่น Base Note จะเป็นกลิ่นโน้ตน้ำหอมตัวสุดท้ายที่ออกมาให้สัมผัส หลังจากกลิ่น Middle Note ค่อย ๆ จางหายไป และมักอยู่ติดตัวคุณแทบตลอดทั้งวัน จึงอาจบอกว่านี่คือกลิ่นที่แท้จริงของน้ำหอมที่คุณฉีดก็คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก มักซ่อนความนุ่มลึกน่าค้นหาเอาไว้ จึงมีหน้าที่สำคัญในการบ่งบอกตัวตนของผู้ใช้ได้อย่างชัดเจนมากที่สุด พืชที่ใช้จึงออกแนวกลิ่นแมกไม้ ไม่แรงมากเกินไป เช่น Sandal Wood, Cedar Wood, Amber, Vanilla, Oakmoss, Patchouli, Musk เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือความแตกต่างของกลิ่นโน้ตน้ำหอมที่อธิบายเอาไว้ให้อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเลือกซื้อตามสไตล์การฉีดของตนเองได้ดีที่สุด ซึ่งทาง Artepole เองก็ใส่ใจในการจัดเรียงโน้ตน้ำหอมทุกกลิ่นภายใต้ความกลมกล่อมลงตัวมากที่สุด เช่น กลิ่น Eau de Dynamite – Extrait Perfume จะเริ่มกลิ่น Top Note ด้วยผลไม้และดอกไม้เมืองร้อน เติมความสดชื่นอีกนิดด้วยสะระแหน่และแมงดานา ตามมาติด ๆ กับกลิ่น Middle Note กับสไตล์หวานอมเปรี้ยวทั้งแอปเปิลเขียวกับเฟร้นช์ เลม่อน แอบซ่อนกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกมะลิแห้ง กุหลาบ ดอกไอริสและลาเวนเดอร์อีกเล็กน้อย ก่อนจะปิดด้วยกลิ่น Base Note ของแคชเมียร์ ได้ความนุ่มละมุนเกินห้ามใจ หรือถ้าคุณหลงใหลกลิ่นน้ำหอมสไตล์ไหน แบบใด ก็สามารถเลือกสินค้าจากเราไปใช้งานกันได้เลย